แอนดี้ มาแชล (ซ้าย) ปัจจุบันเป็นโค้ชประตูให้กับแอสตัน วิลล่า
แอนดี้ มาแชล (39 ปี) ปัจจุบันเป็นโค้ชผู้รักษาประตูของแอสตันวิลล่า ชายผู้ที่ได้รับการโหวตเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของนอริส(เซฟจนทีมรอดตกชั้น) และย้ายไปตามความฝันในพรีเมียร์ลีกกับทีมอิปสวิช โดนดรอปเป็นมือสอง ถึงสาม เพราะเหตุแฟนบอลไม่ชอบหน้า(นอริชกับอิปสวิชเป็นทีมคู่อริกัน) ก่อนจะโดนยืมตัวไปได้ดีกับมิลวอลล์จนเข้าชิง เอฟ เอ คัพกับแมนยูในปี 2004 (โดยได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมทซ์หลายครั้ง) และย้ายไปมิลวอลล์อย่างถาวรในปีถัดมา เขาให้สัมภาษณ์เผยวิธีการปรับสภาพจิตใจในการเป็นผู้รักษาประตู แอนดี้เล่าผ่านประสบการณ์ตรงแบบชีวิตที่ขึ้นๆลงๆของเขาเองครับ
1. ทำไมถึงมาเป็นผู้รักษาประตูอาชีพ
"ฟุตบอลมันเป็นอะไรที่ผมอยากจะทำอยู่เสมอตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ผมค่อนข้างจะมึนๆนะในการเล่นเป็นประตูในช่วงแรกๆ แต่ผมก็โชคดีพอที่จะไปอยู่ถูกที่ถูกเวลา เล่นต่อหน้าผู้คนที่ถูกโฉลกด้วย ผมมีโอกาสเซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนตั้งแต่อายุ 10 ขวบกับนอริช ซิตี้ ที่ๆผมซ้อมสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนคืนผ่าน ล่วงเลยเป็นปี และผมก็แค่สนุกกับมัน พูดจริงๆนะ ถ้าคุณไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบที่คุณชอบแบบนั้น(ได้เล่นฟุตบอลแทบทุกวัน) คุณได้รับโอกาส คุณก็ต้องตัดสินใจเล่นอาชีพแน่ๆ"
2. คุณชอบตรงไหนในการเล่นเป็นผู้รักษาประตู
"ผมสนุกกับสิ่งที่ผมทำนะ ผมทำงานหนักมาก(ซ้อมหนัก+ตั้งใจมาก)ในสิ่งที่ผมทำ และผมก็พอใจกับผลของมันมาก ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ กับการเป็นผู้รักษาประตูอาชีพ ไม่รู้สิ ผมแยกมันไม่ได้เท่าไหร่ ก็อย่างที่บอกผมแค่สนุกกับสิ่งที่ทำ ผมทำงานในแบบสภาพแวดล้อมของมืออาชีพ ทำงานกับมืออาชีพ ได้เรียนรู้งานเบื้องหลัง และเรื่องของสังคม ทำให้คุณตระหนักว่าคุณก็ต้องทำอย่างมืออาชีพด้วย"
3.อะไรเป็นแรงบรรดาลใจในการเป็นผู้รักษาประตูของคุณ
"มันไม่ใด้เป็นแค่แรงบรรดาลใจเฉพาะการเป็นผู้รักษาประตูเท่านั้นหรอกนะ มันยังรวมถึงเรื่องอื่นๆด้วย ผมมีกฎของตัวเองสำหรับใช้ทั่วไปๆว่า คุณมีความสามารถที่พระเจ้าประทานมา คุณจะเลือกที่ใช้มัน หรือจะทิ้งพรสวรรค์และความสามารถนั้นไปแบบเสียเปล่า โชคร้ายที่เห็นคุณอะไรแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ผู้เล่นอายุน้อยจำนวนมากที่มีความสามารถกว่าผม ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่น หรือผู้รักษาประตูก็ตาม ตัดสินใจที่จะทิ้งพรสวรรค์ที่ว่าไปแบบเสียของ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรที่จำเป็นในการเป็นมืออาชีพเต็มตัว และการที่ต้องมาฟิตเพื่อเล่นในระดับที่เป็นตัวจริงทุกๆสัปดาห์เนี่ย มีผู้เล่นหลายคนถอดใจไปต้องแต่เล่น 1 2 5 หรือแค่ 10 เกม มันขึ้้นกับว่าคุณเล่นแบบนี้ได้แค่ 40 เกม หรือได้ถึง 20 ปี นี่คือความแตกต่างเลยล่ะ"
ความสามารถไม่ได้หายไปไหน เป็นหน้าที่ผมที่จะต้องช่วยเรียกความมั่นใจของเขากลับคืนมา ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลให้สัมภาษณ์ถึงฟอร์มการเล่นของซิมง มิกญอเร่ ในวันที่เลวร้าย
4. คุณไม่ชอบตรงไหนในการเป็นประตูอาชีพรึเปล่า
"มันมีหลายมุมมองนะ ข้อเท็จจริงคือ ตลอด 15 ปีมานี้ ผมไม่เคยมีคริสต์มาสต์จริงๆสักที ผมไม่ได้วันหยุดเลย มันก็เป็นเรื่องปกติของฟุตบอล คุณต้องซ้อมอย่างทารุณซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณรู้ว่าต้องโดนแน่ แต่นั่นก็เป็นอะไรที่คุณต้องทำ คุณเอาตัวเองไปอยู่บนการแข่งขัน นั่นเป็นสภาพแวดล้อมของมืออาชีพที่คุณเลือกจะทำ และนั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องสนุกกับมัน คุณต้องทำงานหนักมากระหว่างจันทร์ถึงศุกร์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะทำพลาดน้อยที่สุดในเกมสุดสัปดาห์"
5.อะไรที่คุณคิดว่าเป็นคุณลักษณะสำคัญในการเป็นเป็นประตูชั้นยอด
"ผมทำงานหนักมากในสิ่งที่ผมทำ ผมทำอย่างนั้นเสมอ ผมโชคดีที่ได้ร่วมงานกับโค้ชที่ดีมากๆ ในฟุตบอลคุณต้องเรียนรู้ให้เร็ว เร็วสุดๆ คุณต้องเข้าใจเกม แต่สิ่งที่สำคัญมาก มากที่สุด คือ จรรยาบรรณ ในฐานะผู้รักษาประตูคุณต้องซ้อมให้หนัก เพราะคุณมีสิทธิ์จะเปลี่ยนเกมได้ และถ้าคุณซ้อมหนักจนมีทักษะมากพอ คุณมีโอกาสดีที่จะเล่นดีในเกม"
6. ความแข็งแกร่งด้านจิตใจ สำหรับคุณหมายถึงอะไร
"มันหมายถึงการที่คุณรับมือกับสถานการณ์ยังไง เมื่อทุกอย่างมันเริ่มแย่ โดยปกติทุกๆคนมีความแข็งแกร่งทางจิตใจดี ถ้าทุกอย่างไปได้สวย คุณไม่เสียประตู คุณตอบรับกับเกมได้ดี และเกมก็เป็นต่อในวันอากาศแจ่มใส หึหึ ตอนที่คุณได้ไปเล่นที่เบิร์นลีย์ในคืนวันอาคารตอนฝนตกไม่ลืมหูลืมตา นั่นล่ะ คุณเจอช่วงเวลาเลวร้ายแล้ว และตอนนั้นเองที่คุณต้องการความแข็งแกร่งด้านจิตใจมากเป็นพิเศษ นี่คือความเข้าใจของผมนะ"
ตอนเด็กคุณอาจจะชอบเตะบอลตากฝน แต่ถ้ามาถึงตอนแข่งจริงๆจังแล้วฝนตกหนัก ต้องอาศัยทักษะมากหน่อย
7. คุณยังสามารถรักษาแรงกระตุ้นในการเล่นได้อย่างไร ตอนที่ไม่ได้ลงเล่น
"ผมจะพาไปยังช่วงท้ายๆก่อนจะเลิกเล่นนะ ช่วงที่ผมไม่ติดทีมเลย ผมยังโชคดีที่เกือบตลอดชีวิตการค้าแข้ง ผมได้เป็นมือหนึ่งมาตลอด ผมเลยไม่เคยรู้สึกผิดหวังอะไร ตอนนี้ผมก็กำลังมาอยู่ช่วงท้ายของการค้าแข้ง ผมไม่ติดทีม และผมก็เดาด้วยหลักจิตวิทยาว่า ผมไปในที่ๆแตกต่างนิดหน่อย ผมตระหนักว่า ผมมาถึงช่วงสุดท้ายในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพแล้ว ผมยังรู้อีกว่าตอนนี้ผมกำลังจะได้สนุกกับการเล่นฟุตบอลจริงๆแล้วล่ะ ตอนที่ผมยังหนุ่ม ชีวิตทั้งหมดของผมขึ้นกับการได้เล่นเป็นตัวจริง และเป็นไปได้ว่าผมไม่ได้สนุกเท่ากับตอนนี้นะ ฟังดูตลกใช่ไหม ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่าผมไม่แฮปปี้เท่าไหร่ที่ไม่ได้ติดทีม แต่ผมก็สนุกมากขึ้นกับในการเล่นฟุตบอลถ้าเทียบกับแต่ก่อน เพราะผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น"
8.ความแข็งแกร่งด้านจิตใจมีความสำคัญยังไงบ้างตลอดอาชีพของคุณ
"สำหรับผม มันเป็นความแข็งแกร่งที่สำคัญที่สุดในฟุตบอล ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะคุณได้ทักษะนี้มาจากผลของการฝึกซ้อม สมมุติตอนนี้ถ้าคุณไม่อยากจะซ้อมให้หนักเพื่อเป็นผู้รักษาประตู คุณก็ไม่มีทางได้ความแข็งแกร่งด้านจิตใจ คุณไม่มีทางที่จะมีร่างกายแข็งแรงพอ คุณไม่มีทางที่จะฟิตพอ และท้ายที่สุดคุณก็จะไม่มีทางที่จะรับมือสถานการณ์ ที่อยู่ๆอาจเลวร้าย และบอกเลยว่าไม่มีนักฟุตบอลอาชีพแม้แต่คนเดียว ที่จะรอดพ้นสถานการณ์เลวร้ายไปได้ เพราะงั้น สำหรับผม มันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนนึงในเกมการแข่งขันของนักฟุตบอลอาชีพเลยล่ะ โดยเฉพาะตำแหน่งผู้รักษาประตู"
9.คุณมีวิธีการจัดการกับความมั่นใจของคุณยังไง?
"ผมขอย้อนเวลากลับไปซักหน่อย ตอนนี้มันแตกต่างจากตอนนั้นพอสมควรเพราะตอนนี้ผมมีประสบการณ์และแก่ขึ้นมาก(หัวเราะ) สมัยเป็นวัยรุ่น ตอนที่ผมเคยทำแบบทดสอบความเครียดอะไรแบบนั้นน่ะ (นี่ผมพูดถึงสมัยผมเยาวชน ประมาณ 14-15 นะ) .ในคืนก่อนเกมผมจะเป็นคนที่คิดเชิงบวกเสมอ ผมชอบหลับตานึกถึงการเกมเล่นที่จะเกิดขึ้น ผมรับบอลได้ตามที่ซ้อมมาอย่างดี ผมทำอย่างนั้นสักชั่วโมงก่อนเข้านอน แต่บางทีมันก็มีความคิดแย่ๆหลุดเข้ามาในหัวแบบไม่ตั้งใจ เช่นนึกไปว่าถ้ารับลูกนั้นไม่ได้ล่ะ ถึงตรงนี้ผมหยุดคิด และพยายามคิดบวกว่า รับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใช่ นายอาจจะรับบอลไม่ได้ แต่นายก็จะโอเคและรับสถานการณ์ไหว ซึ่งถ้าเป็นทุกวันนี้ ถ้ามันมีภาพรับบอลไม่ได้แบบนั้นขึ้น ผมจะหยุดคิดทันที(เหมือนกดปุ่มหยุดเพลง) ผมจะไม่ทนเห็นตัวเองแบบนั้น จากนั้นผมจะย้อนภาพในหัวกลับไป(รีกลับ) ว่าผมจะรับบอลลูกนั้นให้ได้ได้ยังไง(หาวิธีการ) จนกระทั่งเห็นว่าผมป้องกันลูกนั้นได้(เกิดความสำเร็จ เพิ่มความมั่นใจ) นี่ล่ะสิ่งที่ผมมาทำได้ตอนอายุราวๆ 25 ปี
การจินตภาพในทางจิตวิทยาการกีฬา พูดฟังดูง่าย แต่ถ้าจะทำให้ดีต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่หลายปี เพราะไม่เพียงแต่เห็นภาพเท่านั้น ภาพนั้นต้องแจ่มชัด ถูกต้อง และรับรู้สึกได้อย่างสมจริง เช่นรู้สึกถึงพื้นที่เหยียบ น้ำที่หยด จนถึงข้อต่อที่เคลื่อนไหว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอยู่ในหัวอย่างชัดเจน
10. ถามต่อจากเมื่อกี้นะครับ ตอนนี้คุณมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว มีอะไรที่จะมากระทบกับความมั่นใจของคุณรึเปล่า
"โดยทั่วไปผมตอนนี้พร้อมรับมือกับทุกอย่างที่เข้ามานะ ผมไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยามากนัก มีหลายทีที่ผมใช้การซ้อมในหัว และตอนนี้ผมสามารถย่นเวลาของสิ่งที่ต้องทบทวนจากชั่วโมงมาเหลือห้านาที เป็นผลมาจากประสบการณ์ชีวิตน่ะ"
11. สถานการณ์อะไรที่คุณภูมิใจที่สุด ในแง่ของความรู้สึกมั่นใจ เช่นการกลับมาจากสถานะที่ยากลำบาก คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
"เรื่องนี้ คนชอบถามผมเสมอๆ ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตอนอยู่อิปสวิช ผมไปที่นั่น ความกดดันมันสุดๆ ทั้งที่ตัวผมและสถานะของสโมสรในตอนนั้น ผมเริ่มเล่นได้ค่อนข้างดีนะ แต่แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องขมขื่น มันไม่ใช่ความผิดของผมจริงๆนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย เป็นเรื่องสโมสรทั้งระบบ แต่เพราะผมมาจากทีมคู่อริร่วมเมือง และผมได้ค่าเหนื่อยเยอะ พวกเขาเลยต้องการใครสักคนที่จะมาเป็นแพะรับบาป และผมนี่ล่ะโดนเล่นง่ายๆเลย ตอนนั้นแฟนๆแทนที่จะด่าทั้งทีม กลายเป็นพวกเขาเล่นงานแต่ผมซะอย่างงั้น และเรื่องก็แย่ลงอีก เมื่อโจ รอย มาเป็นผู้จัดการทีม ผมให้ความเคารพโจมากนะ โจไม่ชอบผม ผมก็ไม่มีปัญหา และผมก็ค่อยๆหลุดจากตัวจริงไปเป็นมือสาม ไม่ได้นั่งม้านั่งสำรองด้วยซ้ำ ในทางจิตใจมันเหนื่อยเอาการ คุณย้ายมาอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งใจทำงาน และ ปั้งงงง คุณโดนโยนทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใดใยดี และผมต้องใช้เวลาหกเดือนของฤดูกาลอยู่ ณ จุดนั้น และทันทีทันใดผมได้รับโทรศัพท์จากเดนนิส ไวส์ ที่สโมสรมิลวอล เดนนิสบอกว่าอยากยืมตัวผมเพราะโทนี่(ผู้รักษาประตู)บาดเจ็บ ผมเลยไปที่นั่น จากเริ่มฤดูกาลด้วยการเป็นมือสาม และผมมาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการลงเล่นที่มิลลิเนียมสเตเดี้ยมในเอฟ เอ คัพ นัดชิง กับแมนยู มันดูตลกที่สถานการ์มันเปลี่ยนได้ขนาดนี้ พอไปถึงจุดนั้นต้องบอกได้เลยล่ะว่า การพ้นมาจากวันที่มืดมิด แล้วมาเฉิดฉายในการลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมสำคัญ เป็นอะไรที่ผมภูมิใจที่สุดในอาชีพ"
โค้ชมีบทบาทสำคัญนอกจากการโค้ชที่เก่งแล้ว ยังจะต้องมีกุศโลบายในการกระตุ้นนักเตะได้อีกด้วย
12. ช่วยเล่าจุดที่สำคัญๆสักข้อสองข้อ ว่าคุณทำแบบนั้นได้อย่างไร
"มันเป็นงานที่หิน หินมากจริงๆ ผมโชคดี ผมได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจจากครอบครัว และจากภรรยา ผมมีลูกแล้วนะ แต่ตอนนั้นยังไม่มี เอาล่ะ ผมมีคนคอยให้กำลังใจอยู่เสมอๆ แต่ผมก็รักฟุตบอลมากเสมอ ฟุตบอล ฟุตบอล ฟุตบอล ทั้งชีวิตผมคือฟุตบอล ดังนั้นเมื่อตอนที่มันกลายมาเป็นเรื่องยากลำบากมากๆ บางทีผมก็เอาตัวเองไปอยู่ในช่วงที่ผมไม่อยากคุยกับใคร ผมจะออกไปอยู่ห่างไกลผู้คน ผมแค่ต้องการที่ว่างและเวลาสำหรับตัวผมเอง และมันเป็นช่วงที่ยากมากๆ แต่อย่างที่บอก เพราะว่าผมทำสิ่งที่ต้องทำอย่างถูกต้องเสมอ ทุกๆสัปดาห์ ทุกๆวัน ผมตั้งใจซ้อม ผมโชคดีที่มีโค้ชประตูดีๆอยู่รอบตัว ผมสามารถที่จะซ้อมถึงระดับที่พร้อมเมื่อถูกเรียกตัวไปเล่น เพราะมันเป็นสิ่งที่โค้ชพูดกรอกหูกับผมเสมอว่า "โอกาสจะมา โอกาสจะมา โอกาสจะมา เมื่อมันมา นายต้องพร้อม" และผมก็เอาคำพูดนี้ไปสลักบนฝาห้องเลยล่ะ มันเหมือนกับว่าผมรู้ว่าผมต้องการอยู่ ณ จุดไหน ผมรู้ว่าผมอยากจะไปที่ไหน ผมรู้ว่าจุดนี้มันแค่เป็นที่ๆผิดในตอนนี้ ผมจำเป็นที่จะต้องไปจากที่แย่ๆนี่ และเมื่อโอกาสมาถึง ผมจะต้องพร้อมเมื่อมันมา"
ซ้อมหนักเสมอ เมื่อโอกาสมาถึง คุณจะดีพอที่จะคว้ามันไว้ได้รึเปล่า
"สิ่งที่ผมได้เรียนน่ะเหรอ โดยส่วนตัวผมเป็นคนโชคดีมากๆ ผมมีโค้ชที่ดีมากๆ ที่คอยช่วยให้ผมผ่านเหตุการณ์ช่วงนั้นไปได้ เขาคอยเตือนให้ผมทำสิ่งที่ถูกต้อง และเขาไม่ยอมให้ผมต้องท้อแท้ เรียกได้ว่าปัจจัยส่วนนึงมาจากการเตรียมตัวเองผมเอง และส่วนนึงก็มาจากโค้ชที่คอยช่วยเหลือ และเมื่อผมตั้งใจซ้อมไปเรื่อยๆ แม้แต่ตอนที่ผมไม่ได้เล่น หรือไม่มีกระทั่งโอกาสจะได้ลงเล่น ผมก็พร้อมเมื่อโอกาสมาถึง สำหรับผม การที่จู่ๆจะโผล่ไปเป็นตัวจริงของทีมฟุตบอลอาชีพอีกทีมหนึ่งและเล่นได้ในระดับที่น่าพอใจ การที่จะทำอย่างนั้นได้ตลอดเวลา 5 เดือน มันเป็นอะไรที่โหดมากๆ แต่มันก็สอนผมหลายๆอย่างและทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นมาก"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น